วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560

อันโตนิโอ เกาดี้ บันดาลใจจากธรรมชาติ

อันโตนี ปลาซิด กูอิลเยม เกาดี้ อี กอร์เนต หรือที่รู้จักกันดีใน แวดวง ศิลปะสถาปัตย์ ภายใต้ชื่อ อันโตนิโอ เกาดี้ สถาปนิกชาวคาตาลัน และ ศิลปินแห่งยุคโมเดิร์นนิสม์ (อาร์ตนูโว) ผู้มีเอกลักษณ์ในผลงานการออกแบบที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

ผลงานการสร้างสรรค์ของเขาทุกชิ้น ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น “มรดกโลก” ของ องค์การยูเนสโก โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงบาร์เซโลนา แคว้นกาตาโลเนีย ประเทศสเปน

อันโตนิโอ เกาดี้
ด้านหน้าสกราดา ฟามีเลีย
อันโตนี เกิดที่เมืองตาราโกนา ทางตอนใต้ของแคว้นกาตาโลเนียเมื่อปี 1852 เขาได้รับการศึกษาโดยตรงทางด้านสถาปัตย์ที่โรงเรียนสถาปัตยกรรมในบาร์เซโลนา (Escola Tecnica Superior d’Arquitectura) ระหว่างปี 1879-1877 แม้ว่าเกรดเฉลี่ยในวิชาการด้านสถาปัตย์จะอยู่ในระดับกลางๆ ทว่า ที่ทำคะแนนได้สูงลิ่วก็คือ ผลงานด้านการวาดภาพ และไอเดียในการสร้างสรรค์โปรเจกต์ต่างๆ

เขาก็เริ่มสร้างชื่อในการเป็นสถาปนิกชั้นเอก ตั้งแต่ที่ยังเป็นนักศึกษา เริ่มจากปี 1878-1879 อันโตนีได้สร้างชื่อในการออกแบบโคมไฟประดับจัตุรัสเรอิยัล (Placa Reial) กลางกรุงบาร์เซโลนา และในปี 1878 ผลงานการออกแบบบริษัทผลิตถุงมือ โกเมลยา ก็ได้ไปออกงานเวิลด์แฟร์ที่กรุงปารีส

นั่นคือเส้นทางที่ทำให้นักอุตสาหกรรม อย่าง เคานต์เออูเซบี กูเอลล์ ได้รู้จักสถาปนิกดาวรุ่งคนนี้ และกำลังจะกลายเป็นผู้อุปถัมภ์คนสำคัญในกาลต่อมา

ในปี 1878-1882 เขาออกแบบอาคารไม้ให้โรงงานทอผ้า โอเบรรา มาตาโรเนนเซ (Obrera Mataronense) ในมาตาโร ทว่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการสร้างออกมาเป็นอาคารจริง ในงาน ออกแบบดังกล่าว อันโตนี ได้นำเอาลักษณะของ เสา/หลังคาโค้งรูปไข่ (Parabolic Arches) มาใช้เป็นครั้งแรกในอาคารไม้

สกราดา ฟามีเลีย
คาซา วิเชนส์ (Casa Vicens) บ้านของครอบครัววิเชนส์ในบาร์เซโลนา ลักษณะเป็นอาคารสไตล์แขกมัวร์ ออกแบบและสร้างขึ้นระหว่างปี 1883-1885 ในช่วงเดียวกันนั้น เขายังรับงานที่ วิลล่าเอล กาปริโช (Villa El Capricho) ในแคว้นโกมิลยาส ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปนด้วย จึงไม่แปลกที่อาคารทั้งสองจะมีแบบสไตล์แขกมัวร์คล้ายๆ กัน

ในปี 1884 ผลงานชิ้นแรกที่เขาสร้างสรรค์ให้เคานต์เออูเซบี กูเอลล์ ได้แก่ ฟินกา กูเอลล์ (Finca Guell) ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนามของโซนา อูนิเวร์ซิตาเรีย (Zona Universitaria) ซึ่งสร้างความตื่นตะลึงตั้งแต่หน้าประตูโลหะไปจนกระทั่งสวนสวย และสถาปัตยกรรมอาคารด้านใน

อันโตนี เริ่มต้นผลงานสุดอลังการ และกลายเป็นสถานที่ที่ใครไปบาร์เซโลนาต้องไปเยือน นั่นคือ สกราดา ฟามีเลีย (Sagrada Familia หรือ The Sacred Family) วิหารที่ศักดิ์สิทธิ์แบบที่มีห้องใต้ดินสำหรับฝังพระศพของครอบครัวพระคริสต์ ตามความเชื่อของคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก โดย ฟรานซิสโก เดล บิลลาร์ หยุดทำไปเฉยๆ อันโตนีจึงเข้ามารับงานต่อ

ปาเลา กูเอลล์ (Palau Guell) ทาวน์เฮาส์ของครอบครัวกูเอลล์ กลางกรุงบาร์เซโลนา ได้รับการออกแบบและสร้างอย่างอลังการในปี 1885-1889 ระหว่างนั้นเขายังไปสร้างพระราชวังสไตล์ โกธิก เอปิสโกปาล พาเลซ (Episcopal palace) ที่ อัสตอร์กา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปนด้วย

ผลงานชิ้นต่อมานับว่าแตกต่างไปจากที่ผ่านๆ มาอย่างสิ้นเชิง กับ โกเลจิโอ เตเรเซียโน (Colegio Teresiano หรือโรงเรียนเซนต์เทเรซา) ซึ่งนับเป็นการออกแบบอย่างเรียบง่าย ไม่มีลวดลายวิจิตรพิสดารเช่นที่เคย หากเป็นการเล่นกับเส้นสายโครงสร้างตัวอาคารมากกว่า

ในยุคหลังๆ ของอันโตนิโอ เกาดี้ เขามุ่งมั่นกับการรับใช้ศาสนา โดยเลิกรับงานอย่างอื่น หันไปทุ่มเทให้คริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก โดยเฉพาะผลงานที่สร้างไม่ยอมเสร็จ อย่าง สกราดา ฟามีเลีย ซึ่งเขาออกแบบเอาไว้ให้มีหอระฆังถึง 18 แห่ง 12 หอที่สร้างเสร็จแล้ว เพื่อระลึกถึงสาวก 12 คนของพระเยซู ส่วนอีก 4 หอระฆังสำหรับ 4 ผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ทั้ง 16 หอระฆังสูง 100 เมตร ออกแบบให้เชื่อมโยงกับโถงใหญ่ ที่จะนำมาสู่หอระฆังคู่ซึ่งสูงที่สุดบริเวณด้านหน้า (170 เมตร) ที่สร้างเพื่อสดุดีพระแม่มารีและพระเยซูคริสต์นั่นเอง

เวลาผ่านไป ผู้ร่วมงานของเขาก็ล้มหายตายจากไปทีละคนๆ ทำให้การก่อสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นไปด้วยความล่าช้า ผนวกกับพิษเศรษฐกิจของบาร์เซโลนาที่ไม่ปรานีใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ อุปถัมภ์คนสำคัญของเขา เคานต์เออูเซบี เสียชีวิตลง

ดาดฟ้าคาซ่าบัตโย
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ถูกรถรางชนจนปางตาย ด้วยความที่เขาอยู่ในเสื้อผ้าซอมซ่อ ทั้งในกระเป๋าสตางค์ก็ไม่มีเงินเลย รถแท็กซี่คันแล้วคันเล่าไม่ยอมพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ในที่สุดเขาก็ถูกพาไปส่งที่โรงพยาบาลคนยาก ไม่มีใครจำได้เลยว่า นี่คือยอดศิลปินแห่งยุคโมเดิร์นนิสม์ จนกระทั่งเพื่อนของเขามาพบและพยายามให้ย้ายโรงพยาบาลที่ดีกว่า แต่อันโตนีก็ปฏิเสธ

เขาเสียชีวิตใน 3 วันต่อมา ผู้คนกว่าครึ่งค่อนเมืองบาร์เซโลนาออกมาไว้อาลัยจนทั่วท้องถนน ร่างอันไร้วิญญาณได้รับการบรรจุเอาไว้ ณ ใจกลางของสกราดา ฟามีเลีย นั่นเอง

คาซ่าบัตโย
แม้ว่า อันโตนิโอ เกาดี้ จะเขียนแบบพิมพ์เขียวของสกราดา ฟามีเลีย ใหม่ทั้งหมด ทว่าแบบแปลนชิ้นล่าสุดดังกล่าวได้ถูกทำลายไป ระหว่างการเถลิงอำนาจของรัฐบาลเผด็จการของนายพลฟรังโก ณ ปัจจุบัน จึงอาศัยตามแบบเก่าที่เขาคิดไว้แต่แรก ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การก่อสร้างสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นไปอย่างล่าช้า จนกระทั่งทุกวันนี้แล้วยังสร้างไม่เสร็จเสียที โดยเมื่อปี 2007 ที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดเป้าหมายอย่างจริงจัง ว่าการก่อสร้างส่วนที่เหลือจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2026

ใครที่ไปเยือนสกราดา ฟามีเลีย จะได้เห็นถึงอัจฉริยภาพในการสร้างสรรค์ของยอดสถาปนิก ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาคารสมัยโกธิก ผสมผสานกับขนบในการก่อสร้างอาคารแบบสเปนแท้ การออกแบบเสาเลียนแบบต้นไม้ การทดลองนำเอาถุงทรายเล็กๆ มาถ่วงน้ำหนัก เพื่อการออกแบบจัดวางเสา โค้งประตู/หลังคา ผนัง และห้องใต้ดิน ที่ผ่านการคำนวณมาแล้วอย่างแม่นยำ

มองผ่านกระจกในคาซ่าบัตโย
ตลอดระยะเวลาในชีวิตของอันโตนี เขาใช้เวลามากมายไปกับการศึกษามุมมองต่างๆ และส่วนโค้งเว้าของธรรมชาติ ซึ่งได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจอันใหญ่หลวงในผลงานการออกแบบของเขาทุกชิ้น (และอาคารทุกแห่ง) การนำธรรมชาติมาคำนวณด้วยหลักเรขาคณิต ออกมาเป็นอาคารสถานที่ เฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ ฯลฯ นับว่าเป็นเรื่องใหม่มากในยุคสมัยของเขา

เสาทุกต้นในสกราดา ฟามีเลีย เลียนแบบโครงร่างของต้นมะพร้าว โครงเหล็กประดับประตูของปาเลากูเอลล์ เลียนแบบรังของตัวต่อ รั้วปาร์กกูเอลล์ (Parc Guell) ลอกเลียนจากรูปทรงใบตาล หลังคาโรงเรียนเกาดี้ (หรือโรงเรียนสกราดา ฟามีเลีย) ออกแบบตามโค้งธรรมชาติของใบไม้ ฯลฯ

คาซา บัตโย (Casa Batllo) ทาวน์เฮาส์ของครอบครัวบัตโยกลางกรุงบาร์เซโลนา เป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ที่สามารถเห็นอัจฉริยภาพและแรงบันดาลใจจากธรรมชาติได้อย่างชัดเจน ในบ้านแสนมหัศจรรย์นี้ปราศจากเส้นตรง เพราะในธรรมชาติเองก็ไม่มีเส้นตรง ไม่ว่าจะเป็นกรอบประตู/หน้าต่าง ราวบันได กระจก ฯลฯ ล้วนกอปรขึ้นด้วยเส้นสายโค้งมนเลียนแบบธรรมชาติทั้งสิ้น

ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ก็คือ การออกแบบกระจกใสให้มองผ่านไปแล้ว ราวกับกำลังเดินอยู่ ณ ใต้บาดาล

ภาพถ่ายและคำบรรยายทั้งหลายล้วนไม่ได้ครึ่งของการมีโอกาสได้ไปสัมผัสมรดกโลกเหล่านี้จริงๆ