ผลงานการสร้างสรรค์ของเขาทุกชิ้น ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น “มรดกโลก” ของ องค์การยูเนสโก โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงบาร์เซโลนา แคว้นกาตาโลเนีย ประเทศสเปน
![]() |
อันโตนิโอ เกาดี้ |
![]() |
ด้านหน้าสกราดา ฟามีเลีย |
เขาก็เริ่มสร้างชื่อในการเป็นสถาปนิกชั้นเอก ตั้งแต่ที่ยังเป็นนักศึกษา เริ่มจากปี 1878-1879 อันโตนีได้สร้างชื่อในการออกแบบโคมไฟประดับจัตุรัสเรอิยัล (Placa Reial) กลางกรุงบาร์เซโลนา และในปี 1878 ผลงานการออกแบบบริษัทผลิตถุงมือ โกเมลยา ก็ได้ไปออกงานเวิลด์แฟร์ที่กรุงปารีส
นั่นคือเส้นทางที่ทำให้นักอุตสาหกรรม อย่าง เคานต์เออูเซบี กูเอลล์ ได้รู้จักสถาปนิกดาวรุ่งคนนี้ และกำลังจะกลายเป็นผู้อุปถัมภ์คนสำคัญในกาลต่อมา
ในปี 1878-1882 เขาออกแบบอาคารไม้ให้โรงงานทอผ้า โอเบรรา มาตาโรเนนเซ (Obrera Mataronense) ในมาตาโร ทว่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการสร้างออกมาเป็นอาคารจริง ในงาน ออกแบบดังกล่าว อันโตนี ได้นำเอาลักษณะของ เสา/หลังคาโค้งรูปไข่ (Parabolic Arches) มาใช้เป็นครั้งแรกในอาคารไม้
![]() |
สกราดา ฟามีเลีย |
ในปี 1884 ผลงานชิ้นแรกที่เขาสร้างสรรค์ให้เคานต์เออูเซบี กูเอลล์ ได้แก่ ฟินกา กูเอลล์ (Finca Guell) ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนามของโซนา อูนิเวร์ซิตาเรีย (Zona Universitaria) ซึ่งสร้างความตื่นตะลึงตั้งแต่หน้าประตูโลหะไปจนกระทั่งสวนสวย และสถาปัตยกรรมอาคารด้านใน
อันโตนี เริ่มต้นผลงานสุดอลังการ และกลายเป็นสถานที่ที่ใครไปบาร์เซโลนาต้องไปเยือน นั่นคือ สกราดา ฟามีเลีย (Sagrada Familia หรือ The Sacred Family) วิหารที่ศักดิ์สิทธิ์แบบที่มีห้องใต้ดินสำหรับฝังพระศพของครอบครัวพระคริสต์ ตามความเชื่อของคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก โดย ฟรานซิสโก เดล บิลลาร์ หยุดทำไปเฉยๆ อันโตนีจึงเข้ามารับงานต่อ
ปาเลา กูเอลล์ (Palau Guell) ทาวน์เฮาส์ของครอบครัวกูเอลล์ กลางกรุงบาร์เซโลนา ได้รับการออกแบบและสร้างอย่างอลังการในปี 1885-1889 ระหว่างนั้นเขายังไปสร้างพระราชวังสไตล์ โกธิก เอปิสโกปาล พาเลซ (Episcopal palace) ที่ อัสตอร์กา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปนด้วย
ผลงานชิ้นต่อมานับว่าแตกต่างไปจากที่ผ่านๆ มาอย่างสิ้นเชิง กับ โกเลจิโอ เตเรเซียโน (Colegio Teresiano หรือโรงเรียนเซนต์เทเรซา) ซึ่งนับเป็นการออกแบบอย่างเรียบง่าย ไม่มีลวดลายวิจิตรพิสดารเช่นที่เคย หากเป็นการเล่นกับเส้นสายโครงสร้างตัวอาคารมากกว่า

เวลาผ่านไป ผู้ร่วมงานของเขาก็ล้มหายตายจากไปทีละคนๆ ทำให้การก่อสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นไปด้วยความล่าช้า ผนวกกับพิษเศรษฐกิจของบาร์เซโลนาที่ไม่ปรานีใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ อุปถัมภ์คนสำคัญของเขา เคานต์เออูเซบี เสียชีวิตลง
![]() |
ดาดฟ้าคาซ่าบัตโย |
เขาเสียชีวิตใน 3 วันต่อมา ผู้คนกว่าครึ่งค่อนเมืองบาร์เซโลนาออกมาไว้อาลัยจนทั่วท้องถนน ร่างอันไร้วิญญาณได้รับการบรรจุเอาไว้ ณ ใจกลางของสกราดา ฟามีเลีย นั่นเอง
![]() |
คาซ่าบัตโย |

ใครที่ไปเยือนสกราดา ฟามีเลีย จะได้เห็นถึงอัจฉริยภาพในการสร้างสรรค์ของยอดสถาปนิก ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาคารสมัยโกธิก ผสมผสานกับขนบในการก่อสร้างอาคารแบบสเปนแท้ การออกแบบเสาเลียนแบบต้นไม้ การทดลองนำเอาถุงทรายเล็กๆ มาถ่วงน้ำหนัก เพื่อการออกแบบจัดวางเสา โค้งประตู/หลังคา ผนัง และห้องใต้ดิน ที่ผ่านการคำนวณมาแล้วอย่างแม่นยำ
![]() |
มองผ่านกระจกในคาซ่าบัตโย |
เสาทุกต้นในสกราดา ฟามีเลีย เลียนแบบโครงร่างของต้นมะพร้าว โครงเหล็กประดับประตูของปาเลากูเอลล์ เลียนแบบรังของตัวต่อ รั้วปาร์กกูเอลล์ (Parc Guell) ลอกเลียนจากรูปทรงใบตาล หลังคาโรงเรียนเกาดี้ (หรือโรงเรียนสกราดา ฟามีเลีย) ออกแบบตามโค้งธรรมชาติของใบไม้ ฯลฯ
คาซา บัตโย (Casa Batllo) ทาวน์เฮาส์ของครอบครัวบัตโยกลางกรุงบาร์เซโลนา เป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ที่สามารถเห็นอัจฉริยภาพและแรงบันดาลใจจากธรรมชาติได้อย่างชัดเจน ในบ้านแสนมหัศจรรย์นี้ปราศจากเส้นตรง เพราะในธรรมชาติเองก็ไม่มีเส้นตรง ไม่ว่าจะเป็นกรอบประตู/หน้าต่าง ราวบันได กระจก ฯลฯ ล้วนกอปรขึ้นด้วยเส้นสายโค้งมนเลียนแบบธรรมชาติทั้งสิ้น
ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ก็คือ การออกแบบกระจกใสให้มองผ่านไปแล้ว ราวกับกำลังเดินอยู่ ณ ใต้บาดาล
ภาพถ่ายและคำบรรยายทั้งหลายล้วนไม่ได้ครึ่งของการมีโอกาสได้ไปสัมผัสมรดกโลกเหล่านี้จริงๆ