วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

เปโร ดิ โกสิโม อิตาเลียนเรอเนสซองซ์นอกคอก

นิทรรศการรำลึกถึง เปโร ดิ โกสิโม Piero di Cosimo : The Poetry of Painting in Renaissance Florence กำลังจัดแสดงอยู่ ณ หอศิลป์แห่งชาติสหรัฐ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างวันนี้ถึง 3 พ.ค. ก่อนที่จะย้ายไปแสดงที่หอศิลป์ในฟลอเรนซ์ (Galleria degli Uffizi) ระหว่าง 23 มิ.ย.-27 ก.ย.ศกนี้

คนรักศิลปะตัวจริงเสียงจริง ในชีวิตนี้ต้องขอให้ได้ชมภาพเขียนของจิตรกรจากยุคเรอเนสซองซ์รายนี้กันสักครั้ง โดยครั้งนี้นับเป็นการจัดนิทรรศการใหญ่ที่รวบรวมผลงานแบบครบเครื่องครั้งแรกของ เปโร
ดิ โกสิโม กับ 44 ชิ้นงานเด่นระดับมาสเตอร์พีซ ที่ได้รวบรวมมาจากวิหารหลายแห่งในอิตาลี อย่างเช่น Madonna and Child Enthroned with Saints Elizabeth of Hungary, Catherine of Alexandria, Peter, and John the Evangelist with Angels (1493) ที่ขอยืมมาจากพิพิธภัณฑ์หอศิลป์อินโนเชนติ ในฟลอเรนซ์ (Museo degli Innocenti)

ขณะที่ภาพ The Visitation with Saint Nicholas and Saint Anthony Abbot (1489-1490) อันเป็นภาพเขียนขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของเปโร นั้นเพิ่งผ่านการบูรณะมาสดๆ ร้อนๆ

เปโร ดิ โกสิโม ได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรนอกคอกในยุคเรอเนสซองซ์ ด้วยผลงานการสร้างสรรค์ที่แปลกแตกต่างจากศิลปินร่วมสมัย โดยเฉพาะบรรดาสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดในจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นในภาพ

แม้ว่าผลงานหลายชิ้นจะได้รับอิทธิพลอย่างมากมายมาจากเลโอนาร์โด ดา วินชี อย่าง Madonna and Child with Two Musician Angels (1504-1507) ทว่า เปโรก็สร้างความต่างด้วยการเสกสิ่งมีชีวิตที่ดูราวหลุดออกมาจากตำนาน ให้กลายเป็นตราสัญลักษณ์ของตัวเอง เขามีผลงานมากมายในโบสถ์ที่ฟลอเรนซ์ ตั้งแต่วิหารกัปโปนี่ไปถึงวิหารของสตรอซซี่ ซึ่งหากจะค้นหาความหมายที่แท้ของแต่ละภาพ บรรดานักประวัติศาสตร์ศิลปะทั้งหลายยังกุมศีรษะและส่ายหัว

ภาพที่ดูเหมือนจะเป็นซีรี่ส์เดียวกัน เช่น Perseus Rescuing Andromeda (1510-1513) The Discovery of Honey (1500) The Misfortunes of Silenus (1500) และ The Hunt and The Return from the Hunt (1485-1500) แสดงความยากลำบากของมนุษย์ ซาตาน และสัตว์โลกชนิดอื่นๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ล้วนมีความเจ็บปวดไม่แตกต่างกัน


ศิษย์เอกของโกสิโม รอซเซลลิ แห่งโรงเรียนศิลปะฟลอเรนติน เริ่มต้นเขียนภาพเป็นอาชีพตั้งแต่ปี 1480 รุ่นใกล้เคียงกับจิตรกรชื่อดังแห่งเรอเนสซองซ์ ทั้งซานโดร บอตติเชลลี เลโอนาร์โด ดา วินชี แล้วก็ มีเกลันเจโล แม้มีผลงานไม่ขี้เหร่ แต่ด้วยความที่เขานิยมสร้างสรรค์ตัวประหลาดในผลงานที่เข้าใจยาก ทำให้กลายเป็นเรอเนสซองซ์ที่ออกจะนอกคอก หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่า เขาอาจจะก้าวล้ำไปสู่ยุคแอบสแทรกต์ก่อนใครๆ


ภาพเขียนที่แปลกประหลาด ทำให้เปโรมีภาพเป็นจิตรกรจอมเพี้ยน หาก จอร์โจ วาซารี นักประวัติศาสตร์ศิลปะคนแรกของโลก ที่รวบรวมประวัติของจิตรกรเอกในยุคเรอเนสซองซ์ ตั้งข้อสังเกตว่า เปโรพร้อมที่จะเปลี่ยนเทคนิคและรูปแบบในผลงานของเขา จากภาพหนึ่งไปยังอีกภาพอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย

ขณะที่จิตรกรเรอเนสซองซ์คนอื่นๆ วาดภาพพอร์เทรตที่สวยเนี้ยบ เต็มไปด้วยความงามแห่งยุคสมัย หรือรับใช้ศาสนาคริสต์อย่างไร้ที่ติ เปโร ดิ โกสิโม เลือกที่จะขุดเอาสัตว์โบราณจากในตำนานก่อนประวัติศาสตร์มาวิ่งเล่นอยู่ภาพเขียนอารมณ์ประหลาด ที่แสดงความเหนือจริง ดูๆ ไปก็ให้ความรู้สึกเสียดสีและมีอารมณ์ขันอยู่ในที

ชีวิตจริงของเขาก็แปลกประหลาดพอดู ลูกชายของช่างทำเครื่องมือ กลายเป็นนักเรียนศิลปะของโกสิโม รอซเซลลิ ซึ่งเลี้ยงเขามาแบบลูกชายตั้งแต่อายุ 11 เขาช่วยอาจารย์วาดภาพศิลปะบนผนังโบสถ์
ซิสทินไม่รู้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้น แต่ไม่เคยมีชื่อในผลงานนั้นๆ กระทั่งอายุ 18 ที่เป็นศิลปินเต็มตัว เขาไม่เคยวาดเฟรสโกอีกเลย เพราะนิยมเขียนภาพสีน้ำมันบนแผ่นไม้มากกว่า แถมบางครั้งไม่ใช้พู่กันหากนิยมใช้นิ้วมือ (จากบันทึกของจอร์โจ วาซารี)

Madonna and Child (1515-1518) ผลงานชิ้นสุดท้ายของเปโร ดูลดดีกรีความแรงลงมาก เป็นภาพสีหวาน ไม่ใช่สดๆ แรงๆ เหมือนที่เคยทำ ซึ่งเหมือนกับสีสันในผลงานของลูกศิษย์เขา อย่าง อันเดรีย เดล ซาร์โต และจาโคโป ดา ปอนตอร์โม ที่ต่างเริ่มเปลี่ยนจากยุคไฮเรอเนสซองซ์ไปสู่ยุคแมนเนอริสม์กันแล้ว

นั่นเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เขาพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งใหม่เสมอ ในทุกวันของชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น