นอกจากนี้ หลังจากการตรวจสอบด้วยกล้อง hyperspectral
หรือเครื่องกวาดภาพช่วงคลื่นละเอียดสูง ซึ่งสร้างสรรค์โดย SPECIM
ทำให้ได้ข้อสรุปว่าภาพดังกล่าวว่าโกล้ดน่าจะวาดขึ้นในปี 1891
ภาพเขียนดังกล่าวเป็นสมบัติของมูลนิธิจิตรกรรม กอสตา เซอร์ลาชิอุส มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 ซึ่งพวกเขาสงสัยมาตลอดว่าเป็นภาพเขียนของโกล้ด โมเนต์ แต่ไม่ได้รับการยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามที่จะพิสูจน์หลายครั้ง เพราะหากเป็นภาพวาดเลียนแบบมันก็ดูสวยเกินไป อย่างมหาวิทยาลัยในเรเซนาร์ต โดยศูนย์วิจัยศิลปะผสมผสานในเมืองมันต์ตา ประเทศฟินแลนด์ ก็เคยเข้าตรวจสอบภาพนี้ด้วยกล้อง hyperspectral พร้อมทั้งเครื่องระบบเอกซเรย์ แบบ XRF ที่ทำการสแกนภาพในหลายๆ มุมไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปใดๆ
“กล้อง hyperspectral จะถ่ายภาพออกมาให้เห็นเป็นแนวคลื่นแสงที่แตกต่างกัน 256 ภาพต่อหนึ่งครั้งที่กดชัตเตอร์ ซึ่งใกล้เคียงกับการใช้อินฟราเรด คลื่นแสงที่ออกมาเป็นภาพนี้ ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยจะทำให้เห็นถึงสีทุกสี ทุกชั้นที่อยู่บนภาพๆ นั้น”
อิลกา โปโลเนน ผู้ทำวิจัยคณะล่าสุด กล่าวต่อว่า กล้องจะทำหน้าที่คล้ายสแกนเนอร์ โดยจะสแกนเป็นแนวระนาบทีละเส้นๆ จนครบทั้งภาพ “ผลที่ได้ออกมาจะเป็นโครงสร้างของแสงสีออกมาเป็นคลื่นแสง ซึ่งคราวนี้ก็แล้วแต่การออกแบบของนักวิจัยแต่ละท่านที่จะถอดรหัสคลื่นแสงออก มาเป็นการอ่านค่าได้อย่างไร”
สำหรับทีมของอิลกาได้สแกนภาพเขียน Haystacks at Giverny the Evening Sun ด้วยกล้อง hyperspectral ของ SPECIM ตามขั้นตอนดังกล่าว ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลเป็นคลื่นแสงจำนวนมาก ขณะที่ลายเซ็นของโกล้ด โมเนต์ อาศัยคนละวิธีในการค้นหา โดยเป็นศาสตร์หลากหลายที่มีคนพยายามทดลองทำมาก่อนหน้า นำมาผสมผสานกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง
“วิธีการที่เรียกว่า Spectral imaging ที่มักใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของภาพต้นแบบดั้งเดิม เช่นว่ามีสีสันที่เพี้ยนไปจากของเก่ามั้ย เป็นวิธีการยอดนิยมในการตรวจสอบภาพเขียนที่มีมูลค่ามานานแล้ว กรณีนี้เคยมีการใช้วิจัยภาพ Haystack ภาพนี้มาแล้ว แต่อาจทำไม่ละเอียดพอ หรือจำเพาะเจาะจงไปไม่ตรงจุดที่เป็นลายเซ็นของศิลปิน ไม่ก็อ่านค่าไม่ถูกต้อง สำหรับครั้งนี้เราอาศัยศาสตร์อื่นๆ เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์การแพทย์ การสำรวจสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ อะไรอีกมากมาย ที่ช่วยให้เราค้นพบลายเซ็นที่ซ่อนอยู่ใต้ชั้นสี” เพคคา นีททานมากิ อธิการบดีมหาวิทยาลัยยีวาสกีลา เล่า
สำหรับ ออสการ์-โกล้ด โมเนต์ ถือได้ว่าเป็นจิตรกรผู้บุกเบิกศิลปะยุคอิมเพรสชันนิสม์เลยก็ว่าได้ โดยภาพ Impression, Sunrise ปี 1873 ของเขา กลายมาเป็นชื่อเรียกยุคสมัยความเคลื่อนไหวของศิลปะ
สมัยเด็กๆ บิดาของเขาต้องการให้สานต่อธุรกิจของครอบครัว แต่ในจิตใจของโกล้ดมีแต่ศิลปะ และมุ่งมั่นต้องการเป็นจิตรกรอาชีพ
โกล้ด โมเนต์ เข้าโรงเรียนศิลปะที่เลอ อาฟร์ ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ซึ่งแค่ชั้นมัธยมต้น เขาก็สามารถสร้างรายได้จากการวาดภาพเหมือนให้คนนั้นคนนี้ โดยคิดภาพละ 10-20 ฟรังก์
5 ปีหลังเข้าเรียนศิลปะ เขาก็ได้พบกับศิลปินอย่าง อูแชน บูลแด็ง ซึ่งสอนเทคนิควาดภาพกลางแจ้งที่เรียกว่า en plein air ให้ ทั้งคู่กลายเป็นศิษย์-อาจารย์ กระทั่งอายุ 16 โกล้ดลาออกจากโรงเรียนมุ่งหน้าสู่กรุงปารีส แทนที่จะไปนั่งวาดภาพศึกษาจากศิลปะของโอลด์มาสเตอร์เช่นคนอื่นๆ เขากลับนั่งริมหน้าต่างแล้ววาดสิ่งที่เขามองเห็นจากหน้าต่างห้องแทน
ในวัย 21 เขาเข้าร่วมกองทัพไปประจำการที่แอลจีเรีย จริงๆ แล้วต้องรับใช้ชาติถึง 7 ปี ทว่าพอเข้าปีที่ 2 เขาก็ป่วยเป็นไทฟอยด์จึงต้องปลดประจำการ และกลับมาเรียนศิลปะต่อ ณ กรุงปารีส โดยศึกษาเข้มข้นในแนว en plein air กับเพื่อนๆ ในรุ่นใกล้เคียงกัน อย่าง ปิแอร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ เฟรเดริก บาซิลล์ และอัลเฟรด ซิสลีย์
ระหว่างนั้นได้เกิดสงครามฟร็องโก-ปรัสเซีย ทำให้โกล้ดอพยพไปอยู่ที่อังกฤษชั่วคราว ที่นั่นเขาได้ศึกษาผลงานของจอห์น สเตเบิล และโจเซฟ มัลลอร์ด เทอร์เนอร์ โกล้ดไม่เพียงได้เรียนรู้ด้านการวาดภาพแนวแลนด์สเคปซึ่งทั้งคู่เอกอุเท่า นั้น หากยังได้อิทธิพลเรื่องการใช้สีมาด้วย
พอสงครามสงบเขากลับมากรุงปารีส และใช้ชีวิตแบบชาวปารีเซียงทำกัน คือ ออกมาปิกนิกในสวนวันอาทิตย์ นอกจากเพื่อนๆ ศิลปินรุ่นเดียวกันที่กล่าวไปแล้ว เขายังสนิทกับเอดูอาร์ด มาเนต์ และภรรยา พวกเขาออกไปปิกนิกวันอาทิตย์ด้วยกันบ่อยๆ และเป็นที่มาของภาพเขียนจำนวนหนึ่งที่วาดในสวนท่ามกลางบรรยากาศปิกนิก
ศิลปินหนุ่มในกลุ่มก๊วนรวมตัวกันจัดนิทรรศการอิมเพรสชันนิสม์ครั้งแรก ณ เลขที่ 35 บูเลอวาร์ด เดส์ กาปูชีนส์ กรุงปารีส ในปี 1874 โดยจริงๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจจะนำเสนอวิธีการวาดภาพแนวใหม่ ทว่าต้องการแสดงอิสระทางความคิดของพวกเขามากกว่า เนื่องจากว่า ซาลง เดอ ปารีส ปฏิเสธการจัดแสดงผลงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นภาพ Impression, Sunrise (1873) Luncheon (1868) และรูปอื่นๆ เขายังวาด Boulevard des Capucines เพื่อเป็นเกียรติแก่สถานที่
ท่ามกลางภาพเขียนของเพื่อนร่วมกลุ่มรวม 165 ภาพ ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าชมกว่า 3,500 คน และภาพก็ขายได้ดี แม้บางภาพราคาจะดูสูงเกินจริง
หลังการจากไปของกามิลล์ ภรรยาของเขาซึ่งป่วยเป็นวัณโรค ฐานะทางการเงินของโกล้ดก็ดูจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ก็มีอย่างไม่หยุดหย่อน ในปี 1890 เขาซื้อบ้านหลังใหญ่ที่มีสวนสวย ผลงานดีๆ ในบั้นปลายจึงเต็มไปด้วยภาพวาดในสวน ซึ่งเขาเป็นคนออกแบบเองโดยศึกษาจากหนังสือพฤกษศาสตร์ ว่ากันว่า เขาจ้างคนสวนทีเดียวถึง 7 คน เพื่อให้ได้สวนในแบบที่ต้องการ
เมื่อออสการ์-โกล้ด โมเนต์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด มิเชล โมเนต์ ลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา ปรับปรุงบ้านของพ่อเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนทั่วไปเข้าชม รวมทั้งในส่วนของสวนสวยด้วย
ภาพเขียนดังกล่าวเป็นสมบัติของมูลนิธิจิตรกรรม กอสตา เซอร์ลาชิอุส มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 ซึ่งพวกเขาสงสัยมาตลอดว่าเป็นภาพเขียนของโกล้ด โมเนต์ แต่ไม่ได้รับการยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามที่จะพิสูจน์หลายครั้ง เพราะหากเป็นภาพวาดเลียนแบบมันก็ดูสวยเกินไป อย่างมหาวิทยาลัยในเรเซนาร์ต โดยศูนย์วิจัยศิลปะผสมผสานในเมืองมันต์ตา ประเทศฟินแลนด์ ก็เคยเข้าตรวจสอบภาพนี้ด้วยกล้อง hyperspectral พร้อมทั้งเครื่องระบบเอกซเรย์ แบบ XRF ที่ทำการสแกนภาพในหลายๆ มุมไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปใดๆ
“กล้อง hyperspectral จะถ่ายภาพออกมาให้เห็นเป็นแนวคลื่นแสงที่แตกต่างกัน 256 ภาพต่อหนึ่งครั้งที่กดชัตเตอร์ ซึ่งใกล้เคียงกับการใช้อินฟราเรด คลื่นแสงที่ออกมาเป็นภาพนี้ ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยจะทำให้เห็นถึงสีทุกสี ทุกชั้นที่อยู่บนภาพๆ นั้น”
อิลกา โปโลเนน ผู้ทำวิจัยคณะล่าสุด กล่าวต่อว่า กล้องจะทำหน้าที่คล้ายสแกนเนอร์ โดยจะสแกนเป็นแนวระนาบทีละเส้นๆ จนครบทั้งภาพ “ผลที่ได้ออกมาจะเป็นโครงสร้างของแสงสีออกมาเป็นคลื่นแสง ซึ่งคราวนี้ก็แล้วแต่การออกแบบของนักวิจัยแต่ละท่านที่จะถอดรหัสคลื่นแสงออก มาเป็นการอ่านค่าได้อย่างไร”
สำหรับทีมของอิลกาได้สแกนภาพเขียน Haystacks at Giverny the Evening Sun ด้วยกล้อง hyperspectral ของ SPECIM ตามขั้นตอนดังกล่าว ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลเป็นคลื่นแสงจำนวนมาก ขณะที่ลายเซ็นของโกล้ด โมเนต์ อาศัยคนละวิธีในการค้นหา โดยเป็นศาสตร์หลากหลายที่มีคนพยายามทดลองทำมาก่อนหน้า นำมาผสมผสานกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง
“วิธีการที่เรียกว่า Spectral imaging ที่มักใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของภาพต้นแบบดั้งเดิม เช่นว่ามีสีสันที่เพี้ยนไปจากของเก่ามั้ย เป็นวิธีการยอดนิยมในการตรวจสอบภาพเขียนที่มีมูลค่ามานานแล้ว กรณีนี้เคยมีการใช้วิจัยภาพ Haystack ภาพนี้มาแล้ว แต่อาจทำไม่ละเอียดพอ หรือจำเพาะเจาะจงไปไม่ตรงจุดที่เป็นลายเซ็นของศิลปิน ไม่ก็อ่านค่าไม่ถูกต้อง สำหรับครั้งนี้เราอาศัยศาสตร์อื่นๆ เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์การแพทย์ การสำรวจสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ อะไรอีกมากมาย ที่ช่วยให้เราค้นพบลายเซ็นที่ซ่อนอยู่ใต้ชั้นสี” เพคคา นีททานมากิ อธิการบดีมหาวิทยาลัยยีวาสกีลา เล่า
สำหรับ ออสการ์-โกล้ด โมเนต์ ถือได้ว่าเป็นจิตรกรผู้บุกเบิกศิลปะยุคอิมเพรสชันนิสม์เลยก็ว่าได้ โดยภาพ Impression, Sunrise ปี 1873 ของเขา กลายมาเป็นชื่อเรียกยุคสมัยความเคลื่อนไหวของศิลปะ
สมัยเด็กๆ บิดาของเขาต้องการให้สานต่อธุรกิจของครอบครัว แต่ในจิตใจของโกล้ดมีแต่ศิลปะ และมุ่งมั่นต้องการเป็นจิตรกรอาชีพ
โกล้ด โมเนต์ เข้าโรงเรียนศิลปะที่เลอ อาฟร์ ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ซึ่งแค่ชั้นมัธยมต้น เขาก็สามารถสร้างรายได้จากการวาดภาพเหมือนให้คนนั้นคนนี้ โดยคิดภาพละ 10-20 ฟรังก์
5 ปีหลังเข้าเรียนศิลปะ เขาก็ได้พบกับศิลปินอย่าง อูแชน บูลแด็ง ซึ่งสอนเทคนิควาดภาพกลางแจ้งที่เรียกว่า en plein air ให้ ทั้งคู่กลายเป็นศิษย์-อาจารย์ กระทั่งอายุ 16 โกล้ดลาออกจากโรงเรียนมุ่งหน้าสู่กรุงปารีส แทนที่จะไปนั่งวาดภาพศึกษาจากศิลปะของโอลด์มาสเตอร์เช่นคนอื่นๆ เขากลับนั่งริมหน้าต่างแล้ววาดสิ่งที่เขามองเห็นจากหน้าต่างห้องแทน
ในวัย 21 เขาเข้าร่วมกองทัพไปประจำการที่แอลจีเรีย จริงๆ แล้วต้องรับใช้ชาติถึง 7 ปี ทว่าพอเข้าปีที่ 2 เขาก็ป่วยเป็นไทฟอยด์จึงต้องปลดประจำการ และกลับมาเรียนศิลปะต่อ ณ กรุงปารีส โดยศึกษาเข้มข้นในแนว en plein air กับเพื่อนๆ ในรุ่นใกล้เคียงกัน อย่าง ปิแอร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ เฟรเดริก บาซิลล์ และอัลเฟรด ซิสลีย์
ระหว่างนั้นได้เกิดสงครามฟร็องโก-ปรัสเซีย ทำให้โกล้ดอพยพไปอยู่ที่อังกฤษชั่วคราว ที่นั่นเขาได้ศึกษาผลงานของจอห์น สเตเบิล และโจเซฟ มัลลอร์ด เทอร์เนอร์ โกล้ดไม่เพียงได้เรียนรู้ด้านการวาดภาพแนวแลนด์สเคปซึ่งทั้งคู่เอกอุเท่า นั้น หากยังได้อิทธิพลเรื่องการใช้สีมาด้วย
พอสงครามสงบเขากลับมากรุงปารีส และใช้ชีวิตแบบชาวปารีเซียงทำกัน คือ ออกมาปิกนิกในสวนวันอาทิตย์ นอกจากเพื่อนๆ ศิลปินรุ่นเดียวกันที่กล่าวไปแล้ว เขายังสนิทกับเอดูอาร์ด มาเนต์ และภรรยา พวกเขาออกไปปิกนิกวันอาทิตย์ด้วยกันบ่อยๆ และเป็นที่มาของภาพเขียนจำนวนหนึ่งที่วาดในสวนท่ามกลางบรรยากาศปิกนิก
ศิลปินหนุ่มในกลุ่มก๊วนรวมตัวกันจัดนิทรรศการอิมเพรสชันนิสม์ครั้งแรก ณ เลขที่ 35 บูเลอวาร์ด เดส์ กาปูชีนส์ กรุงปารีส ในปี 1874 โดยจริงๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจจะนำเสนอวิธีการวาดภาพแนวใหม่ ทว่าต้องการแสดงอิสระทางความคิดของพวกเขามากกว่า เนื่องจากว่า ซาลง เดอ ปารีส ปฏิเสธการจัดแสดงผลงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นภาพ Impression, Sunrise (1873) Luncheon (1868) และรูปอื่นๆ เขายังวาด Boulevard des Capucines เพื่อเป็นเกียรติแก่สถานที่
ท่ามกลางภาพเขียนของเพื่อนร่วมกลุ่มรวม 165 ภาพ ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าชมกว่า 3,500 คน และภาพก็ขายได้ดี แม้บางภาพราคาจะดูสูงเกินจริง
หลังการจากไปของกามิลล์ ภรรยาของเขาซึ่งป่วยเป็นวัณโรค ฐานะทางการเงินของโกล้ดก็ดูจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ก็มีอย่างไม่หยุดหย่อน ในปี 1890 เขาซื้อบ้านหลังใหญ่ที่มีสวนสวย ผลงานดีๆ ในบั้นปลายจึงเต็มไปด้วยภาพวาดในสวน ซึ่งเขาเป็นคนออกแบบเองโดยศึกษาจากหนังสือพฤกษศาสตร์ ว่ากันว่า เขาจ้างคนสวนทีเดียวถึง 7 คน เพื่อให้ได้สวนในแบบที่ต้องการ
เมื่อออสการ์-โกล้ด โมเนต์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด มิเชล โมเนต์ ลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา ปรับปรุงบ้านของพ่อเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนทั่วไปเข้าชม รวมทั้งในส่วนของสวนสวยด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น