วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สาวบาร์และเอดูอาร์ด มาเนต์

ภาพต้นแบบของ Le Bar aux Folies-Bergere หนึ่งในผลงานที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของ เอดูอาร์ด มาเนต์ เตรียมเข้าสู่การประมูล ณ สถาบันโซเทอร์บีส์ กรุงลอนดอน ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ โดยคาดว่าน่าจะมีมูลค่าราว 15-20 ล้านปอนด์ (หรือราว 780-1,080 ล้านบาท)

ภาพเขียนดังกล่าวเป็นสมบัติส่วนตัวของศิลปิน จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1883 โดย โปล ดูรองด์-รูเอล นายหน้าของเขาเป็นผู้คอยติดตามรักษาผลงานของเขาไว้ และภาพดังกล่าว ได้จัดแสดงต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกในปี 1905 ในนิทรรศการรำลึกถึงเอดูอาร์ด มาเนต์ ณ กราฟตัน แกลเลอรี
กรุงลอนดอน ที่อาจเรียกได้ว่า เป็นการนำพาความเป็นอิมเพรสชันนิสม์สู่ผู้ชื่นชอบศิลปะชาวอังกฤษ

ปัจจุบัน Le Bar aux Folies-Bergere ภาพจริงและภาพต้นแบบ จัดแสดงเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของหอศิลป์แห่งชาติอังกฤษ กรุงลอนดอน (National Gallery) ในนิทรรศการ Inventing Impressionism: Paul Durand-Ruel and the Modern Art Market ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง 19-24 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ก่อนที่ภาพต้นแบบจะถูกประมูล

สำหรับ Le Bar aux Folies-Bergere เอดูอาร์ด ได้สร้างสรรค์ขึ้นจากบรรยากาศของกรุงปารีสสมัยใหม่ โดยเขาเริ่มวาดภาพในธีมของบาร์ คาเฟ่ และคอนเสิร์ตในเมืองหลวงของฝรั่งเศส ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1870 ซึ่งมามีไฮไลต์อยู่ที่บาร์ของโฟลีส์-แบร์กแชร์แห่งนี้เอง

ภาพต้นแบบของ Le Bar aux Folies-Bergere เป็นภาพสีน้ำมันขนาดเล็กๆ ก่อนที่เขาจะวาดภาพสีน้ำมันชื่อเดียวกันเป็นภาพขนาดใหญ่ จัดแสดงครั้งแรกในซาลงปี 1882 (ปัจจุบันเป็นสมบัติของคอร์ตโทลด์ แกลเลอรี กรุงลอนดอน) และได้รับความสำเร็จอย่างสูง

แม้ภาพ 2 ภาพ จะวาดในเนื้อหาเดียวกัน และมีองค์ประกอบของภาพใกล้เคียงกัน แต่ว่าเอดูอาร์ดเหมือนมีความตั้งใจที่จะวาดในสไตล์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยภาพที่วาดก่อนมีสีสันที่จัดจ้าน และอาศัยฝีแปรงที่ว่องไวกว่าในการวาด

ในกลางทศวรรษที่ 1980 มีการนำวิธีเอกซเรย์มาใช้ในการวิจัยความแตกต่างระหว่างภาพ 2 ภาพ พบว่า ในเบื้องแรก เอดูอาร์ดพยายามถ่ายทอดทุกองค์ประกอบของภาพต้นแบบไปสู่ผลงานขนาดใหญ่ แต่ดูเหมือนพอเวลาผ่านไป เขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง กว่าจะออกมาเป็น Le Bar aux Folies-Bergere ตัวจริงเสียงจริง เช่นว่า ขยับสาวบาร์จากการยืนเอียงหันไปทางขวาของภาพ ให้มาอยู่บริเวณกึ่งกลางและหันหน้าตรง

การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบภาพเพียงเล็กน้อย หากสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมาก ส่งผลให้ภาพนี้ออกมางดงามอย่างไม่น่าเชื่อ

สำหรับโฟลีส์-แบร์กแชร์ เป็นโรงละครในกรุงปารีส เปิดกิจการตั้งแต่ปี 1869 บนถนนริแชร์ก ที่นี่มีการแสดงหลากหลาย ตั้งแต่ละครใบ้ บัลเลต์ กายกรรม และดนตรี โดยภาพในมีบาร์หลายแห่งไว้คอยให้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสาวบาร์แสนสวยไว้ดึงดูดลูกค้าหนุ่มๆ ในภาพของเอดูอาร์ด ก็จะเห็นว่า สาวบาร์หน้าละอ่อนรายนี้กำลังต้อนรับลูกค้าหนุ่มทั้งหลาย ดังเห็นได้จากภาพหนุ่มๆ ที่สะท้อนบนกระจกด้านหลัง

หลังจาก เอดูอาร์ด มาเนต์ เสียชีวิต ภาพต้นแบบดังกล่าวก็ตกเป็นของภรรยาม่ายของเขา ซูซานน์ ลีนอฟ มาเนต์ ซึ่งในปี 1884 เธอได้ยกให้กับ เอ็ดมงด์ บาซีร์ เพื่อนของอดีตสามีผู้ล่วงลับ ที่เป็นคนเขียนถึงผลงานชิ้นแรกของเขา หลังจากนั้นโปลดูรองด์-รูเอล ก็ได้ข่าวว่า ภาพนี้อยู่ในมือของนักสะสมชาวออสเตรีย ดร.เฮอร์มันน์ ไอส์เลอร์

กระทั่งราวปี 1928 ฟรันซ์ โคเอนิกส์ นักสะสมอีกคนหนึ่ง ได้ซื้อภาพนี้ผ่านนายหน้าในอัมสเตอร์ดัมจากพี่ชายของ ดร.เฮอร์มันน์ -- กอตฟรีด ไอส์เลอร์ ขณะที่ศิลปะในคอลเลกชั่นของฟรันซ์ ตกเป็นของพิพิธภัณฑ์บอยมันส์ในเมืองรอทเทอร์ดาม ทว่า ภาพนี้ยังคงเป็นสมบัติส่วนตัว จนกระทั่งปี 1994 ที่พวกเขาขายให้สถาบันประมูลโซเทอร์บีส์ กรุงลอนดอน ไป 4.4 ล้านปอนด์ (หรือราว 230 ล้านบาท)

Le Bar aux Folies-Bergere นับว่าเป็นภาพเขียนชิ้นสำคัญชิ้นสุดท้ายของจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ชาวฝรั่งเศส โดยหลังจากที่เขาวาดเสร็จและจัดแสดงในซาลงเรียบร้อยแล้ว คนที่ซื้อไปประดับบ้าน คือวาทยากรชื่อ เอมมานูเอล ชาบริเยร์ เพื่อนบ้านของเอดูอาร์ดเองที่แขวนไว้เหนือเปียโนของเขา

ภาพนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่แสดงความตั้งใจของเอดูอาร์ด มาเนต์ ในการวาดภาพชีวิตสมัยใหม่ของกรุงปารีส ณ ขณะนั้น โดยเขาเป็นจิตรกรคนแรกๆ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวร่วมสมัยของผู้คน ณ ขณะนั้นออกมาบนผืนผ้าใบ โดยถ่ายทอดออกมาได้ละเอียดลออและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ จนกระทั่งบรรดานักวิจารณ์ทั้งหลายในยุคนั้นสุดแสนจะงงงวย และภาพนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการถกประเด็นด้านต่างๆ ในสังคมขึ้นมาอีกหลากหลาย

เทคนิคภาพสะท้อนบนกระจกได้รับการตีความเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แม้จะเริ่มต้นง่ายๆ จากความศรัทธาที่เอดูอาร์ดมีต่อ ดิเอโก เบลาซเกซ ศิลปินมาสเตอร์ชาวสเปน ที่เขาขอยืมเทคนิคนี้จากภาพ Las Meninas มาใช้ในการวาดภาพสมัยใหม่ ซึ่งนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส โมริซ แมร์กโล-ปงตี บอกว่า ภาพสะท้อนในกระจกเป็นเครื่องมือมหัศจรรย์ของจักรวาลที่สามารถเปลี่ยนมุมมองของภาพได้มากอย่างเหลือเชื่อ

“ดูภาพนี้แล้วเหมือนกับเราได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าของสาวบาร์นางนั้นเองจริงๆ” โมริซ ว่าเอาไว้

ตามภาพเขียนกลับบ้าน

Seated Woman ภาพเขียนของ อองรี มาติสส์ ที่สูญหายไประหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นานกว่า 75 ปี ในที่สุดก็ได้กลับคืนสู่ครอบครัวที่แท้จริงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นคือ ทายาทของ พอล โรเซนเบิร์ก นักค้างานศิลปะที่ต้องหนีตายจากนาซีในปี 1940

เรื่องราวการตามหาภาพเขียนที่หายไปภาพนี้ ลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนเสียยิ่งกว่านิยายสืบสวนสอบสวน...

ในปี 2010 ระหว่างที่มีการตรวจเอกสารบนรถไฟที่กำลังจะข้ามประเทศ จากเมืองซูริก ของสวิตเซอร์แลนด์ สู่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี ทางด่านลินเดา มีผู้เดินทางสูงวัยรายหนึ่งดูมีพฤติกรรมน่าสงสัย ทั้งตรวจพบว่าเขาขนเงินสดจำนวนมากติดตัวมาด้วย

ทางการเยอรมนีจึงได้สืบเกี่ยวกับชายคนนี้เพิ่มเติม ได้ความว่า เขาชื่อ คอร์เนลิอุส กูร์ลิท เมื่อตามไปถึงอพาร์ตเมนต์ของเขาก็พบสุดยอดภาพเขียนนับพันรูป ซุกอยู่ในลังไม้แบบที่ใช้ใส่ผัก เป็นผลงานของจิตรกร "บิ๊กเนม" ทั้งสิ้น ตั้งแต่ ปาโบล ปิกัสโซ อองรี มาติสส์ มาร์ก ชากัลล์ ออตโต ดิกซ์ พอล คลี เอดการด์ เดอกาส์ กุสตาฟว์ กูร์เบต์ แล้วก็ ปิแอร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ คิดรวมมูลค่ากว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ

สืบย้อนกลับไปอีกก็ได้ความว่า ฮิลเดบรันด์ กูร์ลิท บิดาของเขาเป็นนายหน้าค้างานศิลปะ ที่เมื่อกาลก่อนเคยช่วยนาซีขายและแลกเปลี่ยนงานศิลปะที่พวกเขาขโมยมาจากเศรษฐีชาวยิว ทว่าท่านผู้นำนั้นไม่ปลื้มศิลปะสมัยใหม่สักเท่าไร "ผลงานที่ซุกในลังเหล่านี้คือผลงานที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้เรื่องสำหรับนาซี" คริสโตเฟอร์ มาริเนลโล ซีอีโอของกลุ่มตามหาศิลปะที่หายไป กล่าว

"พวกนักค้างานศิลปะย่อมรู้อยู่แล้วว่าผลงานเหล่านี้มีมูลค่าขนาดไหน แต่ว่าในสายตาของนาซีมันคือผลงานตกกระป๋อง" คริสโตเฟอร์ว่า ในยุคเติร์ดไรซ์ มีเพียงผลงานเรอเนสซองซ์ และจิตรกรรมของมาสเตอร์ชาวดัตช์เท่านั้นที่เข้าตากรรมการ

สำหรับตระกูลโรเซนเบิร์ก เก็บรายละเอียดเรื่องคอลเลกชั่นงานศิลปะในครอบครองเอาไว้เป็นอย่างดี "เขามีเอกสาร ลิสต์รายชื่อ รูปภาพ บันทึกการแสดงงานต่างๆ ที่พิสูจน์ได้หมดว่า ภาพชิ้นไหนเป็นของเขาบ้าง" คริสโตเฟอร์ ที่ทำงานทวงคืนงานศิลปะร่วมกับทายาทตระกูลโรเซนเบิร์ก เล่า

เมื่อ Seated Woman ถูกค้นพบในกรุของคอร์เนลิอุส จึงไม่ยากเลยที่จะพิสูจน์ว่าเป็นของตระกูลโรเซนเบิร์กแน่นอน นอกจากนี้ ภาพของปาโบล ปิกัสโซ และอองรี มาติสส์ ชิ้นอื่นๆ ก็เป็นชิ้นที่จดจำได้ว่าเป็นของกลุ่มเพื่อนๆ นักค้างานศิลปะ เพราะหลายชิ้นก็เคยจัดแสดงอยู่ในนิทรรศการเดียวกัน

ที่ผ่านมา ตระกูลโรเซนเบิร์กใช้เวลาหลายปีในการตามหาชิ้นงานศิลปะกว่า 400 ชิ้น ที่ถูกนาซีขโมยไป แต่เขาก็จบชีวิตลงเสียก่อนในปี 1959 อย่างไรก็ตาม ครอบครัวก็ไม่ได้หยุดตามหา

แอนน์ ซินแคลร์ หลานสาวของ พอล โรเซนเบิร์ก ผู้เขียนหนังสือ My Grandfather's Gallery บอกว่า การได้ Seated Woman คืนมาเป็นเรื่องปลื้มปริ่มสุดจะบรรยาย "ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีวันนี้จริงๆ ลองคิดดูสิ มันโดนขโมยไปตั้ง 74 ปี น่าเสียดายที่คุณตาของฉันไม่มีโอกาสได้เห็นตอนที่ได้คืนมา"

เธอเสริมว่า ยังมีอีกกว่า 60 ชิ้นงานที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งเธอและพี่น้องที่ช่วยกันทำทุกวิถีทางที่จะตามหานั้นก็ไม่ทราบว่าจะมีวิธีไหนที่ได้เจอภาพเขียนชิ้นอื่นๆ ที่หายไป "มันอาจจะยังอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็ถูกทำลายไประหว่างสงครามแล้ว เราไม่อาจจะรู้ได้เลย" แอนน์ กล่าว

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เชื่อว่า มีผลงานศิลปะกว่า 6.5 แสนภาพ ที่ถูกนาซีกวาดเอาไปจากยุโรป เรียกว่าเป็นอาชญากรรมทางศิลปะครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์

ขณะที่เจ้าของที่แท้จริงต่างพยายามตามหางานศิลปะอันเป็นสมบัติของครอบครัวอย่างเงียบๆ ทว่าข่าวคราวการพบเจอผลงาน 1,280 ชิ้น ที่บ้านของคอร์เนลิอุส ในหนังสือพิมพ์ Der Spiegel ก็หมือนเป็นการปลุกชีพเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่

ชายชราผมขาวโพลน ถือพาสปอร์ตของออสเตรีย รอล์ฟ นิโคลัส คอร์เนลิอุส กูร์ลิท เกิดที่เมืองฮัมบูร์ก ปี 1932 เขารายงานเจ้าหน้าที่ว่า เดินทางเข้าสวิตเซอร์แลนด์ไปเพื่อทำธุรกิจกับแกลเลอรี่ศิลปะที่กรุงเบิร์น ท่าทีเขามีพิรุธมาก เจ้าหน้าที่จึงเชิญเขาไปในห้องน้ำแล้วทำการตรวจค้น และพบเงินสดๆ แบงก์ยูโรใหม่ๆ ถึง 9,000 ยูโร

แม้คอร์เนลิอุสจะไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เนื่องจากยังคงเป็นจำนวนต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ (1 หมื่นยูโร) แต่ด้วยความที่เขาทำท่ามีพิรุธทำให้เจ้าหน้าที่ต้องตามไปขุดคุ้ย โดยยิ่งสืบก็เหมือนตามล่าเงาของปิศาจ เขาบอกว่า มีอพาร์ตเมนต์อยู่ในมิวนิก ทว่าที่ที่เขาจ่ายภาษีกลับเป็นซัลซ์บูร์ก ประเทศออสเตรีย นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานว่าเขาอยู่ในมิวนิก หรือที่อื่นๆ ในเยอรมนีน้อยมาก

นอกจากนี้ ไม่มีหลักฐานการจ่ายค่าเช่าบ้านที่ไหนๆ ไม่มีประกันสุขภาพ หรือหลักฐานการจ้างงาน หรือบัญชีธนาคารของคอร์เนลิอุสเลย เรียกว่า คุณลุงรายนี้ไม่เคยมีงานมีการทำ ไม่มีแม้แต่รายชื่ออยู่ในสมุดโทรศัพท์ คือเป็นคนไม่มีตัวตนอยู่โดยแท้

ในที่สุด ทางการเยอรมนีก็หาจนเจอว่า เขาอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ราคาร้อยล้านย่านชวาบิง ซึ่งเป็นย่านของมหาเศรษฐีในมิวนิก และหลังจากไล่เรียงไปยังต้นตระกูลกูร์ลิท จึงพบว่า เกี่ยวโยงกับคนใหญ่คนโตสมัยนาซีเรืองอำนาจ โดยชื่อของ ฮิลเดบรันด์ บิดาของเขา เป็นภัณฑารักษ์ในหอศิลป์ประจำย่านชาวยิวเลยทีเดียว

หนังสือพิมพ์ Der Spiegel รายงานว่า คนในย่านอพาร์ตเมนต์บนถนนอาร์เทอร์-คุทเชอร์-พลัทซ์ของคอร์เนลิอุส รู้ทั้งนั้นว่า เขามีงานศิลปะจำนวนมาก ทว่าเยอรมนีไม่มีกฎหมายที่จะมาเอาผิดคนที่ครอบครองงานศิลปะที่ถูกขโมยไปในยุคนาซี งานนี้ต้องให้สรรพากรยื่นมือเข้ามาจัดการ แต่ทางการเยอรมนีกลับมีท่าทีไม่แยแสเรื่องนี้สักเท่าไร และไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย

ไม่นานหลังจากนั้น คอร์เนลิอุสก็นำภาพ The Lion Tamer ของมักซ์ เบคมันน์ ออกมาขายผ่านสถาบันประมูลเลมเพิร์ตซ์ ในเมืองโคโลญ ได้เงินไป 1.17 ล้านเหรียญ รายงานข่าวว่า เงินถูกแบ่งเป็น 60:40 กับเอเยนต์ชาวยิว อัลเฟรด เฟลชท์ไฮม์ ที่ครอบครัวเขาเคยมีแกลเลอรี่หลายแห่งในเยอรมนี โดยในปี 1934 ภาพนี้ได้ถูกบังคับขายให้ฮิลเดบรันด์ ก่อนที่เจ้าของภาพจะหนีไปกรุงปารีสต่อด้วยกรุงลอนดอน และเสียชีวิตอย่างอดอยากในปี 1937 ซึ่งทายาทของพวกเขาพยายามที่จะทวง The Lion Tamer และภาพอื่นๆ ที่ถูกบังคับซื้อไปแต่ไม่เป็นผล

กว่าที่ทางการจะออกหมายค้น ก็ปาเข้าไปเดือน ก.พ. 2012 ที่เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องตะลึงกับงานศิลปะนับพัน ในอพาร์ตเมนต์ขนาดพันกว่าตารางเมตรของเขา

หนังสือพิมพ์ Der Spiegel รายงานว่า ระหว่าง 3 วันที่เจ้าหน้าที่เก็บรวบรวมหลักฐานงานศิลปะทั้งหลายออกไปจากอพาร์ตเมนต์ของเขา คอร์เนลิอุส ได้แต่นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จาอะไรเลย

เบื้องหลังภาพแพงที่สุดในโลก The Women of Algiers (Version ‘O’)

ทุบสถิติโลกไปแล้ว สำหรับภาพวาดแนวคิวบิสม์ของ ปาโบล ปิกัสโซ The Women of Algiers (Version ‘O’) ซึ่งมีผู้ประมูลไปด้วยมูลค่าสูงถึง 179.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6,000 ล้านบาท โดยมหาเศรษฐีชาวซาอุดิอาระเบีย ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม

ก่อนหน้านี้ ภาพเขียนแนวแอบสแทรกต์ของ ฟรานซิส เบคอน Three Studies of Lucian Freud เคยเป็นเจ้าของสถิติภาพแพงที่สุดในโลกที่ 142.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4,700 ล้านบาท เมื่อปี 2013

ปาโบล ปิกัสโซ เขียนภาพที่แพงที่สุดในโลกขณะนี้ ในวันวาเลนไทน์ ปี 1955 ซึ่ง The Women of Algiers (Version ‘O’) นับเป็นภาพเวอร์ชั่นสุดท้ายที่เขาวาดสำหรับซีรี่ส์ดังกล่าว โดยเริ่มวาดมาหลายเวอร์ชั่น ตั้งแต่ปี 1954

ปาโบล เริ่มวาด The Women of Algiers หลังจากได้ข่าวว่าเพื่อนรักและคู่แข่งคนสำคัญ อย่าง อองรี มาติสส์ ได้ลาจากโลกนี้ไปเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว เพื่อที่จะระลึกถึงเพื่อนยอดศิลปินโพสต์อิมเพรสชันรายนี้ เขาจึงตัดสินใจวาดภาพในแนวที่เพื่อนถนัดและโด่งดัง อย่างภาพหญิงสาวนอนเอกเขนกในท่าที่สบายๆ มีกลิ่นอายตะวันออกนิดๆ หรือในแวดวงศิลปะ เรียกว่า ภาพสไตล์โอดาลิสก์ (Odalisques) ที่ให้อารมณ์ของหญิงสาวในฮาเร็มของตุรกี

"เมื่ออองรีตาย สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ให้ผมคือ ภาพโอดาลิสก์" ปาโบล พูดติดตลกเอาไว้ในช่วงนั้น ทว่าสิ่งนี้ปรากฏในผลงานของเขาจริงๆ ในช่วงปี 1955-1956

จิตรกรคิวบิสม์ เห็นความเหมือนระหว่างผลงานของ อูแชน เดอลาครัวซ์ จิตรกรยุคศตวรรษที่ 19 กับ อองรี มาติสส์ เขาจึงเลือกภาพของอูแชน ที่เป็นภาพมาสเตอร์พีซชื่อดังบนผนังพิพิธภัณฑ์ลูฟร์เป็นแรงบันดาลใจ นั่นคือภาพเขียนปี 1834 ชื่อ Femmes d'Alger dans leur appartement (Women of Algiers in their Apartment) คล้ายเช่นที่เขาเคยวาดภาพผลงานมาสเตอร์ทั้งหลายออกมาในสไตล์ของตัวเอง อย่าง Las Meninas ของ ดิเอโก เบลาซเกซ ก็ทำมาแล้ว

ปาโบล ปิกัสโซ สุดแสนจะ "อิน" มากกับการวาดภาพในซีรี่ส์นี้ ถึงขนาดทำอะไรที่มันเวอร์วัง อย่างการซื้อวิลลาสไตล์ย้อนยุค (Belle-Epoque) ลา กาลิฟอร์นี (La Californie) ในเมืองกานส์ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ในปี 1955 เพื่อสร้างบรรยากาศในการวาดภาพ The Women of Algiers ของเขาทีเดียว


นอกจากจะสร้างสรรค์ไอเดียเด็ดสำหรับซีรี่ส์ The Women of Algiers แล้ว บรรยากาศการตกแต่งและการจัดแสงในวิลลาสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ที่มีสวนสวยแสนมหัศจรรย์อันเป็นกลิ่นอายแบบตะวันออกแล้ว ยังเป็นใจให้เขาได้วาดภาพแนวโอดาลิสก์อีกหลายภาพ

อัลเฟรด บาร์ ภัณฑารักษ์ชื่อดังรายหนึ่งบอกว่า ผลงานที่สร้างสรรค์ ณ ลา กาลิฟอร์นี ถือเป็นจุดสูงสุดในชีวิตของจิตรกรคิวบิสม์ทีเดียวในความคิดของเขา

สำหรับภาพวาดในซีรี่ส์ The Women of Algiers ชิ้นที่โดดเด่น ก็มีอย่าง "Version H" ที่ ปาโบล ปิกัสโซ วาดเสร็จเมื่อ 24 ม.ค. 1955 โดยในปี 1997 ภาพนี้มีผู้ประมูลไปจากสถาบันคริสตีส์ กรุงนิวยอร์ก ในราคา 7.15 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันอยู่ในคอลเลกชั่นนาห์หมัด (ของนักค้างานศิลปะและมหาเศรษฐีชาวเลบานอน) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยเพิ่งถูกยืมมาโชว์ ณ เทต แกลเลอรี่ เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ เมื่อต้นเดือน พ.ค. ปีนี้

"Version J" ได้รับการนำออกประมูลที่สถาบันโซเทอบีส์ กรุงลอนดอน เมื่อปี 2006 และปิดประมูลที่ราคา 18.6 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตกเป็นสมบัติของคอลเลกชั่นนาห์หมัดเช่นกัน

ขณะที่ "Version K" มีผู้ประมูลไปจากสถาบันคริสตีส์ กรุงนิวยอร์ก ด้วยราคา 6.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วน "Version L" นั้นขายให้กับพิพิธภัณฑ์หอศิลป์แบร์กกรุน (Berggruen Museum) ในกรุงเบอร์ลิน ประทศเยอรมนี ไปที่ราคา 11.4 ล้านหรียญสหรัฐ ไปเมื่อปี 2011

มาถึง "Version M" นั้นก็ได้มีผู้ประมูลไปจากสถาบันคริสตีส์ กรุงนิวยอร์ก ที่ราคา 10 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมๆ กับ "Version H" ด้าน "Version N" ปัจจุบันเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์หอศิลป์มิลเดรด เลน เคมเปอร์ (Mildred Lane Kemper Art Museum) ในมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี จากการบริจาคของกองทุนสไตน์แบร์ก ตั้งแต่ปี 1960

เรื่องเล่าในบ้านและสวน เอดูอารด์ ฟุยยารด์

ภาพพิมพ์หินของ เอดูอารด์ ฟุยยารด์ กำลังจัดแสดง ณ พีนาโคเทค เดอร์ โมเดอร์เน เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี โดยเมื่อย้อนไปในปี 1889-1890 เขาและเพื่อนศิลปินหนุ่มๆ วัยเดียวกัน นำโดย ปิแอร์ บอนนารด์ รวมทั้ง โมริซ เดอนีส์ กับ โปล เซอรูซิเยร์ ฯลฯ ได้ร่วมกันตั้งกลุ่มนาบีส์ (Nabis) อันเป็นการรวมพวกหัวก้าวหน้า ทั้งสาขาจิตรกรรม กราฟฟิกอาร์ต และวรรณกรรมสมัยโพสต์-อิมเพรสชันนิสม์เอาไว้ โดยคนกลุ่มนี้ รวมตัวกันสร้างสรรค์ศิลปะเชิงสัญลักษณ์และจิตวิญญาณของธรรมชาติ

นิทรรศการในคอนเซ็ปต์ Staatliche Graphische Sammlun ไม่อาจจะแสดงความเป็นตัวตนและผลงานของ เอดูอารด์ ฟุยยารด์ ได้ทั้งหมด ทว่าสามารถเห็นเทคนิคพิเศษที่ไม่เหมือนใครของเขาที่ใช้ในงานภาพพิมพ์หิน ซึ่งแม้เขาจะสร้างสรรค์งานในรูปแบบนี้อยู่ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ไม่เกิน 8 ปี แต่นับว่ามีผลงานภาพพิมพ์หินเด็ดๆ ออกมามากมายทีเดียว

เอดูอารด์ ฟุยยารด์ มีผลงานส่วนใหญ่เป็นภาพเขียนมุมต่างๆ ภายในบ้าน (Interiors) รวมทั้งภาพวาดในสวน (Park landscapes) ซึ่งในกลุ่มของนาบีส์นั้นถือว่าเขาเป็นคนที่ทำงานสุดแสนจะประณีตละเอียดลออสุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกใช้สีอย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะภาพชุด Paysages et Interieurs ตั้งแต่ปี 1899

ผลงานภาพพิมพ์หินในยุคแรกๆ ของเขาออกมาเป็นสีขาว-ดำ โดยเป็นการออกแบบฉากละครของกลุ่มอาวองต์-การ์ด ในทศวรรษที่ 1890 ที่เขามีส่วนร่วมด้วยอยู่หลายเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นละครที่มีเนื้อหาไม่ธรรมดา และไม่ใช่ละครที่สร้างขึ้นสำหรับทุกคน

เอดูอารด์ยังพัฒนาเทคนิคในภาพพิมพ์ของเขาขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น โดยเฉพาะเทคนิคการพิมพ์สีของเขาเมื่อเริ่มเปลี่ยนมาทำภาพพิมพ์หินสี ที่กลายเป็นเรื่องใหม่ๆ ของแวดวงศิลปะขณะนั้น ซึ่งสำหรับศิลปินในยุคใกล้เคียงกันในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 อย่าง อองรี เดอ ตูลูส-โลเทร็ก และ ปิแอร์ บอนนารด์ แล้ว เรื่องการใช้สีแบบซอฟต์ๆ เบลอๆ บนภาพพิมพ์ของเขากินขาด เช่นเดียวกับองค์ประกอบภาพซึ่งแปลกประหลาดไม่ธรรมดา

ชอง-เอดูอารด์ ฟุยยารด์ เกิดเมื่อ 11 พ.ย. 1868 เขาใช้ชีวิตวัยเด็กในเมืองกุยโซซ์ (ซาโอน-เอต์-ลัวร์) แคว้นบูร์กอญ (เบอร์กันดี) กระทั่งปี 1878 ครอบครัวย้ายมายังกรุงปารีสเพื่อชีวิตที่ดีกว่า หลังจากพ่อตายในปี 1884 เขายังได้ทุนการศึกษาและยังคงได้เรียนต่อที่โรงเรียนลีเซ กงดอร์เซต์ เอดูอารด์ได้พบกับเพื่อนร่วมรุ่น อย่าง แคร์ ซาวิเยร์ รุสเซล (ในอนาคตเป็นจิตรกรและพี่เขยของเขา) โมริซ เดอนีส์ (จิตรกร) ปิแอร์ แอร์กมองต์ (นักดนตรี) ปิแอร์ เฟแบร์ (นักเขียน) และ ออเรเลียง มารี ลูเญ (นักแสดงฉายา ลูเญ-โป)

ปีถัดมาเขาก็ออกจากโรงเรียนกลางคัน ตามคำแนะนำของแคร์ เพื่อนสนิท โดยไม่ได้ไปร่วมกับกองทัพ แต่ไปฝึกงานในสตูดิโอศิลปะของ ดิโอแชน ไมล์ยารต์ เขานำพื้นฐานศิลปะที่เรียนจากจิตรกรอาชีพ ไปสอบเข้าโรงเรียนศิลปะ เอกอน เดส์ โบซาร์ตส์ แม้ต้องสอบถึง 3 ปี แต่ก็ไม่ละความพยายามจนได้เข้าเรียนในที่สุด

ราวปี 1890 ที่เขาได้เจอกับ ปิแอร์ บอนนารด์ และ โปล เซรุสิเยร์ เขาก็เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มนาบีส์ตามคำชวน กลุ่มนักเรียนศิลปะในยุคโพสต์-อิมเพรสชันนิสม์ ที่เริ่มต้นด้วยการสร้างสรรค์งานตามหลักการ Synthetism อย่างที่ โปล โกแก็ง นิยมทำ เพื่อสร้างความแตกต่างจากจิตรกรในยุคอิมเพรสชันนิสม์ โดยมีกฎว่าจะต้องวาดสิ่งที่เป็นรูปทรงธรรมชาติ ต้องวาดความรู้สึกของศิลปินที่มีต่อสิ่งที่วาด และมีการพิจารณาความงามอันพิสุทธิ์ของเส้นสาย สีสัน และรูปทรงในภาพที่ออกมา

เอดูอารด์ ฟุยยารด์ สร้างสรรค์ผลงานเพื่อร่วมแสดงในนิทรรศการของกลุ่มนาบีส์อย่างสม่ำเสมอ โดยภายหลัง พวกเขานั่งทำงานในสตูดิโอเดียวกัน (กับ ปิแอร์ บอนนารด์ และ โมริซ เดอนีส์) และหลังจากนั้นก็ได้ไปร่วมงานออกแบบฉากละครให้กับ เตอาร์ตร์ เดอ เลิฟร์ ของลูเญ-โป

ช่วงทศวรรษที่ 1990 เขาเดินทางไปหลายแห่ง ทั้งเวนิซ ฟลอเรนซ์ ลอนดอน มิลาน เบรอตาญ (บริตตานี) นอร์มองดี และหลายแห่งในสเปน โดยได้แสดงผลงานเดี่ยว ณ ซาลง เดส์ แองเดปองดองต์ ในปี 1991 และซาลงโดตอมน์ ปี 1903 ช่วงเวลาเดียวกัน เขายังได้เจอ อเล็กซองดร์ และ ตาดี นาตองซง พี่น้องที่ร่วมก่อตั้ง ลา เครอวู บล็องช์ นิตยสารศิลปะชื่อดัง ซึ่งได้ตีพิมพ์ผลงานเด่นๆ ของจิตรกรแห่งยุคเอาไว้

เอดูอารด์มีผลงานศิลปะบนฝาผนังบ้านชิ้นแรก (Apartment frescoes) ในบ้านของมาดามเดส์มาเรส์ หลังจากนั้นใครๆ ก็อยากให้ศิลปินดังไปละเลงฝาบ้านอีกหลายหลัง ตั้งแต่บ้านของ อเล็กซองดร์ นาตองซง โคล้ด อะเนต์ และเลยไปถึงโรงละคร เตอาร์ตร์ เดส์ ชอมป์เซลิเซส์ ปาเลส์ เดอ ไชโยต์ ในกรุงปารีส (ปิแอร์ บอนนารด์ ร่วมวาดด้วย) แล้วก็ ปาเลส์ เดส์ นาซิยงส์ ในกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ร่วมกับ โมริซ เดอนีส์, แคร์ ซาวิเยร์ รุสเซล, และนักประวัติศาสตร์ศิลป์ อองเดร ชาสเตล)

ภาพเขียนมุมต่างๆ ภายในบ้าน ภาพท้องถนน และภาพวาดในสวน เป็นผลงานส่วนใหญ่ของเขาที่เต็มไปด้วยมุขขำแบบเบาๆ ภาพเขียนแสนละเอียดลออในสีอ่อนๆ และออกเบลอๆ เป็นเอกลักษณ์ที่เห็นในภาพรวม ชีวิตสุดแปลกของเขาคือ อาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นช่างตัดเสื้อจนกระทั่งอายุ 60 ปี

เอดูอารด์ไม่เคยวาดภาพพอร์เทรตใครเลย จนกระทั่งปี 1912 ที่เริ่มวาด Theodore Duret in his Study (อยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติ กรุงลอนดอน) หลังจากนั้นการวาดภาพบุคคลถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา

ในบั้นปลาย เอดูอารด์เป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินรางวัลบลูมองตัล (Prix Blumenthal) ที่มอบให้ศิลปินยอดเยี่ยมทั้งสาขาจิตรกรรม ประติมากรรม การตกแต่ง ภาพพิมพ์ วรรณกรรม และดนตรี

กุสตาฟว์ กูร์เบต์ สัจ(ไม่)นิยม

ภาพเขียนที่ถูกลืมเลือนของ กุสตาฟว์ กูร์เบต์ อย่าง La Bohemienne et ses enfants จากปี 1853 กำลังจะเป็นไฮไลต์ในเวทีประมูลของสถาบันคริสตีส์ กรุงนิวยอร์ก โดยคาดว่าจะมีราคาไม่ต่ำกว่า 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ

La Bohemienne et ses enfants เป็นหนึ่งในภาพเขียนชิ้นสำคัญที่หายไป โดยย้อนไปในปี 1853 ภาพเขียนชิ้นดังกล่าวซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ได้ถูกกล่าวถึงในจดหมายที่กุสตาฟว์เขียนถึงอัลเฟรด บรูยาส ว่า เขาต้องจัดการกับภาพในชุด Highway ของเขาชิ้นนี้ เนื่องเพราะถูกกดดันให้เขียน L’Atelier du peintre ซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่แพ้กันให้เสร็จ ทำให้ La Bohemienne et ses enfants ไม่มีที่จะตั้ง จึงต้องไปเก็บเอาไว้ในห้องใต้หลังคาของเพื่อนบ้านในเมืองออร์นองส์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส

เพื่อจะประหยัดพื้นที่ในห้องใต้หลังคา พวกเขาจึงซุกภาพนี้เอาไว้ใต้พื้นห้อง แล้วมันก็ถูกลืมไว้ที่นั่นจนกระทั่งปี 2001 จึงถูกค้นพบ และได้ถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑ์กูร์เบต์ทันที เพื่อตรวจสอบว่าเป็นของจริง

ฌอง เดซีเร กุสตาฟว์ กูร์เบต์ จิตรกรฝรั่งเศส มีชีวิตระหว่างปี 1819-1877 เขาเป็นผู้นำความเคลื่อนไหวทางศิลปะยุคสัจนิยม (Realism) ในศตวรรษที่ 19 โดยออกมาประกาศว่าจะสร้างสรรค์งานศิลปะเท่าที่ตาเห็นเท่านั้น พร้อมหันหลังให้สถาบันศิลปะและสตูดิโอทั้งหลายที่บรรดามาสเตอร์ยุคนั้นกำลังเผยแพร่งานในสไตล์โรแมนติกซิสม์

คำประกาศของเขาทำให้กุสตาฟว์มีพื้นที่พิเศษในศตวรรษที่ 19 ซึ่งโชคดีในความคิดผิดเพี้ยนจากยุคสมัยของเขา เนื่องเพราะมันมีอิทธิพลอย่างมากต่อยุคสมัยของศิลปะรุ่นต่อๆ มา ไม่ว่าจะเป็นยุคอิมเพรสชันนิสม์ หรือยุคคิวบิสม์ก็ตาม

ท่ามกลางจินตนาการเพ้อฝัน และงานศิลปะสุดสวยหรูของยุคโรแมนติก ผลงานที่วาดภาพเป๊ะเวอร์อย่างตาเห็นของกุสตาฟว์เริ่มฉายแสงเป็นที่จดจำในปลายทศวรรษที่ 1840 ผู้คนเริ่มละสายตามาจากภาพความงามของเทวดา นางฟ้า สวนสวรรค์ หันมามองภาพของชาวนา กรรมกร คนร่อนเร่ กันบ้าง

กุสตาฟว์ กูร์เบต์ เกิดที่ออร์นองส์ ในครอบครัวชาวนาที่ต่อต้านระบบกษัตริย์ของฝรั่งเศส โดยคุณตาของเขามีส่วนร่วมในการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี 1789 โซเอ เซลี และชูเลียตต์ พี่สาวของเขา เป็นนางแบบรุ่นแรกๆ ในการวาดภาพให้ โดยหลังย้ายมาอยู่ปารีส เขายังกลับบ้านที่ออร์นองส์เป็นประจำ เพื่อมาล่าสัตว์ รวมทั้งหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ

ที่ปารีส เขาไปทำงานที่ สตอยเบน แอนด์ เฮสเส สตูดิโอสไตล์ศิลปะโรแมกติก แต่อยู่ได้ไม่นาน ด้วยวิญญาณรักอิสระ เขาก็ลาออกเพื่อไปพัฒนาศิลปะตามแนวทางของตัวเอง ด้วยการไปศึกษาผลงานของโอลด์มาสเตอร์ชาวสเปน เฟลมิช และฝรั่งเศส โดยวาดภาพก๊อบปี้ผลงานของพวกเขาเหล่านั้น

Odalisque ผลงานชิ้นแรกของเขาได้แรงบันดาลใจมาจากงานเขียนของวิคตอร์ อูโก และภาพประกอบบนปกหนังสือของจอร์จ ซองด์ เรื่อง Lelia แต่ไม่นานเขาก็เลิกอาศัยแรงบันดาลใจจากวรรณกรรม หันมาเขียนภาพที่เขาเห็นด้วยตา ทั้งประกาศตัวว่าจะเขียนแต่ภาพที่เห็นและเป็นจริงเท่านั้น โดยเริ่มต้นผลงานในช่วงนี้ด้วยภาพเหมือนตัวเอง (Self-Portrait) มากมาย

การเดินทางไปเนเธอร์แลนด์และเบลเยียมในปี 1846–1847 ยิ่งตอกย้ำความเชื่อในแนวทางตัวเอง ราวปี 1848 เขาก็รวบรวมคนหนุ่มที่มีแนวคิดสอดคล้องกันในแนวนีโอ-โรแมนติกและเรียลิสม์ ก่อตั้งขึ้นมาในชื่อ ชอมป์เฟลอรี (Champfleury) ตามนามปากกาของ ชูลส์ ฟรองซัวส์
เฟลิกซ์ เฟลอรี-อุสซง นักเขียนคนแรกที่ช่วยโปรโมทศิลปะแบบที่กุสตาฟว์สร้างสรรค์ขึ้น

After Dinner at Ornans (1849) ผลงานชิ้นแรกๆ ที่เริ่มสร้างชื่อเสียง นอกจากได้รางวัลเหรียญทองระดับประเทศแล้ว ยังถูกซื้อไปเป็นสมบัติชาติ การได้รางวัลเหรียญทองยังหมายถึงว่า ผลงานของเขาจากนี้ไปมีสิทธิที่จะจัดแสดงในซาลง (แกลเลอรี่) โดยไม่ต้องผ่านคณะกรรมการตรวจสอบคุณค่าทางศิลปะและความเหมาะควรจัดแสดงอีก

ปี 1849-1850 กุสตาฟว์วาด Stone-Breakers (ถูกทำลายจากระเบิดในเดรสเดน ปี 1945) ซึ่ง ปิแอร์-โชเซฟ พรูดง นักหนังสือพิมพ์และนักต่อสู้ฝ่ายเสรีนิยมเห็นว่าเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตชนบท แถมยังชมอีกว่าเป็นภาพเขียนที่ดีที่สุดของกุสตาฟว์ ซึ่งจิตรกรบอกว่า ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่เขาเห็นจริงๆ ข้างถนน

A Burial at Ornans (1849-1850) อีกหนึ่งผลงานที่โดดเด่น และสร้างชื่อเสียงไม่แพ้ Stone-Breakers (แถมยังแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ดอร์เซย์ให้ได้ชมกันทุกวันนี้) ในภาพเป็นงานศพลุงแท้ๆ ของเขาเอง โดยคนที่ไปร่วมงานศพทุกคนได้รับเชิญมายังสตูดิโอเพื่อวาดภาพนี้ ที่กลายเป็นภาพเขียนเรียลลิสต์ขนาดยักษ์ที่แสดงวิถีชีวิตของชาวออร์นองส์ แม้นักวิจารณ์ที่กรุงปารีสจะไม่นิยมเท่าไร โดยติว่างานศพอะไรไม่มีอารมณ์ของภาพเศร้าโศกเลย ขณะที่กุสตาฟว์ออกมาโต้ตอบว่า ภาพดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของการฝังศิลปะแบบโรแมนติกที่นับวันจะเสื่อมถอยไปทุกทีๆ

The Artist’s Studio (L’Atelier du peintre) ผลงานอลังการงานสร้างชิ้นมหึมา ที่วาดบรรยากาศในสตูดิโอของเขาเอง ซึ่งเขาเรียกว่า ศาลาแห่งสัจนิยม (Pavillon du Realisme) ในภาพแสดงชีวิตศิลปินของเขา ที่ล้อมรอบไปด้วยเพื่อนๆ และคนที่ชื่นชมงานศิลปะสไตล์นี้ ทั้งนักวิจารณ์ศิลปะ ชอมป์เฟลอรี ชาร์ลส์ โบเดอแลร์ กับนักสะสมงานศิลปะ อัลเฟรด บรูยาส ทางด้านซ้ายของภาพ เป็นคนที่เกี่ยวข้องในชีวิต ตั้งแต่พระ โสเภณี สัปเหร่อ ชาวนา และอื่นๆ

สำหรับรูปผู้ชายกับสุนัขทางซ้าย ผลจากการเอกซเรย์บอกว่าวาดขึ้นทีหลัง โดยเชื่อว่าชายหนวดโง้งนั้นคือภาพของนโปเลียนที่ 3 ซึ่งนิยมล่าสัตว์พร้อมกับสุนัข โดยผู้ที่ครอบครองภาพในสมัยนั้นถือว่า ต้องโทษถึงแก่ชีวิต (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ดอร์เซย์ กรุงปารีสเช่นกัน)

นอกจากไม่ยอมใครในแวดวงศิลปะ กุสตาฟว์ยังเป็นนักวิจารณ์ฝีปากกล้าทางด้านการเมือง เขามีส่วนเคลื่อนไหวให้ฝรั่งเศสเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมนิยมที่สมบูรณ์แบบ ผ่านการพูดและการเขียน อันเป็นเหตุให้ต้องถูกจำคุกจากบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่ง และลี้ภัยไปยังสวิตเซอร์แลนด์




“ผมอายุ 50 และมีชีวิตอิสระมาโดยตลอด ผมก็ขอจบชีวิตแบบมีเสรีภาพ ถ้าผมตายไป ขอให้พูดถึงผมว่าไม่ขึ้นอยู่กับโรงเรียนใดๆ ศาสนาไหนๆ หรือสถาบันอะไรก็ตาม เช่นเดียวกับระบบการปกครองที่ผมยึดมั่น ก็คือระบบเสรีนิยมเท่านั้น” บันทึกของกุสตาฟว์ว่าเอาไว้