
ภาพเขียนดังกล่าวเป็นสมบัติส่วนตัวของศิลปิน จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1883 โดย โปล ดูรองด์-รูเอล นายหน้าของเขาเป็นผู้คอยติดตามรักษาผลงานของเขาไว้ และภาพดังกล่าว ได้จัดแสดงต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกในปี 1905 ในนิทรรศการรำลึกถึงเอดูอาร์ด มาเนต์ ณ กราฟตัน แกลเลอรี
กรุงลอนดอน ที่อาจเรียกได้ว่า เป็นการนำพาความเป็นอิมเพรสชันนิสม์สู่ผู้ชื่นชอบศิลปะชาวอังกฤษ
ปัจจุบัน Le Bar aux Folies-Bergere ภาพจริงและภาพต้นแบบ จัดแสดงเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของหอศิลป์แห่งชาติอังกฤษ กรุงลอนดอน (National Gallery) ในนิทรรศการ Inventing Impressionism: Paul Durand-Ruel and the Modern Art Market ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง 19-24 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ก่อนที่ภาพต้นแบบจะถูกประมูล
สำหรับ Le Bar aux Folies-Bergere เอดูอาร์ด ได้สร้างสรรค์ขึ้นจากบรรยากาศของกรุงปารีสสมัยใหม่ โดยเขาเริ่มวาดภาพในธีมของบาร์ คาเฟ่ และคอนเสิร์ตในเมืองหลวงของฝรั่งเศส ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1870 ซึ่งมามีไฮไลต์อยู่ที่บาร์ของโฟลีส์-แบร์กแชร์แห่งนี้เอง
ภาพต้นแบบของ Le Bar aux Folies-Bergere เป็นภาพสีน้ำมันขนาดเล็กๆ ก่อนที่เขาจะวาดภาพสีน้ำมันชื่อเดียวกันเป็นภาพขนาดใหญ่ จัดแสดงครั้งแรกในซาลงปี 1882 (ปัจจุบันเป็นสมบัติของคอร์ตโทลด์ แกลเลอรี กรุงลอนดอน) และได้รับความสำเร็จอย่างสูง
แม้ภาพ 2 ภาพ จะวาดในเนื้อหาเดียวกัน และมีองค์ประกอบของภาพใกล้เคียงกัน แต่ว่าเอดูอาร์ดเหมือนมีความตั้งใจที่จะวาดในสไตล์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยภาพที่วาดก่อนมีสีสันที่จัดจ้าน และอาศัยฝีแปรงที่ว่องไวกว่าในการวาด

การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบภาพเพียงเล็กน้อย หากสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมาก ส่งผลให้ภาพนี้ออกมางดงามอย่างไม่น่าเชื่อ
สำหรับโฟลีส์-แบร์กแชร์ เป็นโรงละครในกรุงปารีส เปิดกิจการตั้งแต่ปี 1869 บนถนนริแชร์ก ที่นี่มีการแสดงหลากหลาย ตั้งแต่ละครใบ้ บัลเลต์ กายกรรม และดนตรี โดยภาพในมีบาร์หลายแห่งไว้คอยให้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสาวบาร์แสนสวยไว้ดึงดูดลูกค้าหนุ่มๆ ในภาพของเอดูอาร์ด ก็จะเห็นว่า สาวบาร์หน้าละอ่อนรายนี้กำลังต้อนรับลูกค้าหนุ่มทั้งหลาย ดังเห็นได้จากภาพหนุ่มๆ ที่สะท้อนบนกระจกด้านหลัง
หลังจาก เอดูอาร์ด มาเนต์ เสียชีวิต ภาพต้นแบบดังกล่าวก็ตกเป็นของภรรยาม่ายของเขา ซูซานน์ ลีนอฟ มาเนต์ ซึ่งในปี 1884 เธอได้ยกให้กับ เอ็ดมงด์ บาซีร์ เพื่อนของอดีตสามีผู้ล่วงลับ ที่เป็นคนเขียนถึงผลงานชิ้นแรกของเขา หลังจากนั้นโปลดูรองด์-รูเอล ก็ได้ข่าวว่า ภาพนี้อยู่ในมือของนักสะสมชาวออสเตรีย ดร.เฮอร์มันน์ ไอส์เลอร์
กระทั่งราวปี 1928 ฟรันซ์ โคเอนิกส์ นักสะสมอีกคนหนึ่ง ได้ซื้อภาพนี้ผ่านนายหน้าในอัมสเตอร์ดัมจากพี่ชายของ ดร.เฮอร์มันน์ -- กอตฟรีด ไอส์เลอร์ ขณะที่ศิลปะในคอลเลกชั่นของฟรันซ์ ตกเป็นของพิพิธภัณฑ์บอยมันส์ในเมืองรอทเทอร์ดาม ทว่า ภาพนี้ยังคงเป็นสมบัติส่วนตัว จนกระทั่งปี 1994 ที่พวกเขาขายให้สถาบันประมูลโซเทอร์บีส์ กรุงลอนดอน ไป 4.4 ล้านปอนด์ (หรือราว 230 ล้านบาท)
Le Bar aux Folies-Bergere นับว่าเป็นภาพเขียนชิ้นสำคัญชิ้นสุดท้ายของจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ชาวฝรั่งเศส โดยหลังจากที่เขาวาดเสร็จและจัดแสดงในซาลงเรียบร้อยแล้ว คนที่ซื้อไปประดับบ้าน คือวาทยากรชื่อ เอมมานูเอล ชาบริเยร์ เพื่อนบ้านของเอดูอาร์ดเองที่แขวนไว้เหนือเปียโนของเขา

เทคนิคภาพสะท้อนบนกระจกได้รับการตีความเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แม้จะเริ่มต้นง่ายๆ จากความศรัทธาที่เอดูอาร์ดมีต่อ ดิเอโก เบลาซเกซ ศิลปินมาสเตอร์ชาวสเปน ที่เขาขอยืมเทคนิคนี้จากภาพ Las Meninas มาใช้ในการวาดภาพสมัยใหม่ ซึ่งนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส โมริซ แมร์กโล-ปงตี บอกว่า ภาพสะท้อนในกระจกเป็นเครื่องมือมหัศจรรย์ของจักรวาลที่สามารถเปลี่ยนมุมมองของภาพได้มากอย่างเหลือเชื่อ
“ดูภาพนี้แล้วเหมือนกับเราได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าของสาวบาร์นางนั้นเองจริงๆ” โมริซ ว่าเอาไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น