
นอกจากจิตรกรรมชื่อ Giudecca, La Donna della Salute และ San Giorgio อันเป็นภาพทิวทัศน์บริเวณแกรนด์ คาแนล ในกรุงเวนิซ จะเต็มไปด้วยความงามแล้ว ส่วนหนึ่งที่ราคาได้พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์นั้น ก็เนื่องเพราะภาพเขียนชุดดังกล่าวไม่ได้ออกสู่สายตาสาธารณชนมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว
ผู้ที่นำภาพเขียนชุดนี้ออกมาขายให้สถาบันคริสตี ได้แก่ สมาคมเซนต์ฟรานซิส ออฟ อัสซีซี ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่เก็บงานสะสมของชาวยุโรปเอาไว้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 90 และคอลเลคชั่นเวนิซของ เจ.เอ็ม.ดับเบิลยู. เทอร์เนอร์ นับว่าสมบูรณ์แบบ ที่สุด โดยเป็นชิ้นงานที่เคยนำออกแสดงที่รอยัล อคาเดมี ออฟ อาร์ต ในกรุงลอนดอนเมื่อปี 1841
ณ เวลานั้น Giudecca ได้รับคำชื่นชมมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของความรุ่มรวยแห่งสีสัน เป็นภาพเขียนที่โดดเด่น เต็มไปด้วยจินตนาการและชีวิตชีวา น่าชมเชยเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อสถาบันคริสตีได้ภาพนี้มา และประกาศออกไปว่าจะมีการประมูล ก็ได้เสียงตอบรับจากบรรดานักสะสมศิลปะมากมาย "นี่เป็นคอลเลคชั่นภาพเขียนที่ยอดเยี่ยม" นิโคลัส ฮอลล์ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะมาสเตอร์พีซนานาชาติของสถาบันคริสตีกล่าวอีกว่า คอลเลคชั่นดังกล่าวเป็นภาพเขียนที่หายาก "ไม่แปลกเลยที่จะทำลายสถิติการประมูลภาพเขียนทั้งหลาย นอกจากนี้ ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม เทอร์เนอร์ก็เป็นหนึ่งในสุดยอดจิตรกรชาวอังกฤษด้วย"

ต่อมาปี 1897 สถาบันคริสตีได้ขายให้เซอร์โดนัลด์ เคอร์รี ไปในราคา 6,800 กีนี และหลานของเขาได้ขายให้วิลเลียม วู้ด พรินซ์ ไปในปี 1959 ผ่านทางแอ็กนิว เอเยนซี โดยไม่มีใครทราบตัวเลขในการซื้อขาย และภาพดังกล่าวก็กลับมายังแอ็กนิวอีกครั้งในปี 1992 และถูกขายให้กับนักสะสมผู้ไม่ประสงค์ออกนามท่านหนึ่ง โดยภายหลังได้นำไปบริจาคให้สมาคมเซนต์ฟรานซิส ออฟ อัสซีซี
โจเซฟ มัลลอร์ด วิลเลียม เทอร์เนอร์ นับว่าเป็นจิตรกรนักวาดภาพแลนด์สเคปที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก ผลงานของเขาโดดเด่นขนาดได้แสดงนิทรรศการในรอยัล อคาเดมีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ทั้งชีวิตเขาทุ่มเทให้งานศิลปะ ต่างจากศิลปินรุ่นเดียวกันในบ้านเกิด นั่นเป็นสาเหตุให้มีจิตรกรชาวอังกฤษไม่มากมายนักที่มีชื่อสียงในระดับนานาชาติ
เทอร์เนอร์ เกิดในลอนดอนเมื่อปี 1775 บิดาของเขาเป็นช่างตัดผม มารดาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็กมาก เขาได้รับการศึกษาในระบบเพียงเล็กน้อย ศิลปะเป็นอย่างเดียวที่เขามีโอกาสศึกษาด้วยตัวเอง พออายุเพียง 13 ปี เขาก็เริ่มเขียนรูปอยู่ที่บ้าน นำออกแสดงและขายในร้านตัดผมของบิดานั่นเอง

ความงดงามของทิวทัศน์ในกรุงเวนิซ เป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์ผลงานออกมามากมาย โดยเขาไปที่นั่นเพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงของทะเลและท้องฟ้าในทุกฤดูกาล
นอกจากนั้น เขายังต้องศึกษาเรื่องโครงสร้างทางภูมิศาสตร์และวาดออกมาเป็นรูปกราฟฟิก เขาอยู่ที่เวนิซเป็นปีๆ พร้อมกันนั้นก็ได้สร้างสรรค์เทคนิคในการวาดภาพของตัวเองขึ้น โดยนำความรู้สึกแสนโรแมนติกและ เจิดจ้าของเขา ถ่ายทอดลงไปในภูมิประเทศที่เขาเห็นจริง จดออกมาเป็นชิ้นงานที่โดดเด่น
เมื่อเขาอายุมากขึ้นดูเหมือนจะเริ่มกลายเป็นคนเพี้ยนๆ และแปลกแยก เขาไม่เคยมีเพื่อนสนิท ในชีวิตของเขามีแต่บิดา ซึ่งเขาอยู่ด้วยเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี เทอร์เนอร์ไม่อนุญาตให้ใครอยู่ด้วยเวลาที่เขาวาดภาพ และพักหลังๆ เขาก็เริ่มใช้ชีวิตออกห่างจากสังคมเรื่อยๆ เขาปฏิเสธที่จะเข้าประชุมในรอยัล อคาเดมี บางคนแทบไม่เจอเขาเป็นเดือนๆ เขายังคงเดินทาง...คนเดียว และจัดนิทรรศการภาพเขียนเป็นครั้งคราว แต่มักปฏิเสธที่จะขายรูป คราวใดที่เขาถูกตื๊อให้ขายไปสักรูปหนึ่ง เขาจะดูหดหู่ไปเป็นสัปดาห์ทีเดียว

โจเซฟ มัลลอร์ด วิลเลียม เทอร์เนอร์ เสียชีวิตเพียง 1 วันหลังจากที่มีคนไปพบ ในปี 1851 คำสั่งเสียก่อนตายสำหรับเขาที่เรียกตัวเองว่า "ศิลปินหมดสภาพ" ก็คือ ภาพเขียนของเขาทุกชิ้นจะถูกยกให้เป็นสมบัติของประเทศอังกฤษ และขอให้ฝังร่างของเขาไว้ในโบสถ์เซนต์ปอล
แม้ว่าเทอร์เนอร์จะโด่งดังจากผลงานภาพเขียนสีน้ำมันจำนวนมาก หากเขายังได้รับยกย่องให้เป็น ผู้บุกเบิกการวาดภาพแลนด์สเคปด้วยสีน้ำ โดยมี ผลงานสำคัญๆ อย่าง Calais Pier, Dido Building Carthage, Rain, Steam and Speed, Burial at Sea, และ The Grand Canal, Venice
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น